Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : Perfume Perfect (เรื่องที่นักเรียนสนใจ)

น้ำหอมที่พวกเรานั้นใช้กันเป็นประจำเราอาจจะไม่รู้ว่ากว่าจะมาเป็นน้ำหอมที่เราใช้กันจนถึงทุกวันนี้นั้นมีวิวัฒนามานานแสนนานตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณที่นำวัสดุธรรมชาติต่างๆที่มีกลิ่นหอมมาใช้ และพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ ที่มีการผลิตโดยใช้สารเคมีต่างๆทำให้มีหลายกลิ่นและกลิ่นติดทนทานนานยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะพามาดูว่าน้ำหอมมีความเป็นมาอย่างไร แต่ละน้ำหอมประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และวิธีการฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องเป็นอย่างไร  เรามาดูกันเลยค่ะ


ความเป็นมาของน้ำหอม

          เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt 



                  ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศีรษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น 
          นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน"

          ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นส่วนผสมใหม่ที่ใส่ลงไปในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น

          เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหอมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า

          แต่ก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการกลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง

         ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆ ก็ในศตวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน


ประเภทของน้ำหอม
1.Perfume จะมีปริมาณหัวน้ำหอมมากที่สุด 20-30% เป็นน้ำหอมที่มีราคาแพงมากกว่าน้ำหอมชนิดอื่นๆ แต่ให้ความหอมยาวนานถึง 6-8ชั่วโมง เวลาใช้ใครใช้แตะตามส่วนต่างของร่ายการ ไม่ควรใช้แบบสเปรย์

2.Eau de Pafume (EDP) จะมีหัวน้ำหอมน้อยกว่า Perfume ซึ่งจะมี 15-20% น้ำหอมประเภทนี้จะให้ความหอมแค่ 4 -5ชั่วโมง เป็นน้ำหอมที่มีความนิยมมากที่สุดเพราะกลิ่นติดเกือบทั้งวัน และราคาไม่แพงมาก 

3.Eau de Toilette (EDT) จะมีปริมาณหัวน้ำหอมน้อยลงมาอีก ซึ่งจะมี 5-15% น้ำหอมประเภทนี้จะให้ความหอม 2-3ชั่วโมง เพราะที่จะใช้ลูบทั่งร่างกายเพื่อให้เกิดความสดชื่น แนะนำว่าไม่ควรแตะที่ชีพจร แต่ควรใช้แตะหวีและใช้หวีแปรงผมให้ทั่วจะให้กลิ่นหอมที่ติดทนนานกว่า

4.Eau de Colone (EDC) นิยมใช้ตั้งแต่สมัยนโปเลียน จะมีหัวน้ำหอมปริมาณ 2-4% และให้ความหอมเพียงแค่ 2 ชั่วโมง 
5.Eau Fraiche จะมีหัวน้ำหอมประมาณ 1-3%เท่านั้นซึ่งน้อยกว่าชนิดอื่นๆ และให้ความความหอมนานเพียงแค่1-2ชั่วโมงเท่านั้น

        
ประโยชน์ของน้ำหอม
   น้ำหอมไม่ได้มีประโยชน์เพยงแค่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้เท่านั้นแต่กลิ่นของน้ำหอมจะมีผลต่ออารมณ์ของผู้ใช้ดังต่อไปนี้

Stree Reduction (การลดความเครียด) 
          การวิจัยพบว่าการใช้น้ำหอมในคนเราสามารถช่วยลดความเครียดได้ นักค้นคว้าที่ Sloan-Kettering Cancer ที่ New York ได้พบว่าน้ำหอมลดอาการเครียดของคนไข้ที่ได้รับอาการจากMegnatic resonance imaging (MRI) จากการทดลองให้คนไข้ได้รับกลิ่นน้ำหอมทำให้ลดอาการที่ว่าไปได้ถึง 63%

Quality of Sleep (การหลับอย่างมีสุข)
          การวิจัยโดยDr. Peter Badia จาก Bowling Green State University, Department of Psychology ได้ผลการวิจัยออกมาเป็น 2 หัวข้อใหญ่เพื่อศึกษาว่ากลิ่นมีผลต่อการนอนของคนเราหรือไม่ การศึกษาพบว่าพฤติกรรมและจิตใจเราขณะหลับยังสามารถรับรู้ถึงกลิ่นต่างๆได้เป็นอย่างดี แล้วในการทดสอบต่อโดยการให้ผู้ทดลองได้รับกลิ่น มะลิ, เปเปอร์มินท์,และไม่ได้รับกลิ่น ผลปรากฏว่าว่า กลิ่นมะลิจะทำให้ผู้ทดสอบตื่นขึ้นมาอย่างสบายตัว เปเปอร์มินท์จะทำให้รู้สึกว่าตื่นขึ้นมาอย่างผวา ซึ่งจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการได้กลิ่นระหว่างการนอนหลับมีต่อการหลับได้เป็นอย่างดี

Memory (ความทรงจำ)
           เป็นการตอบสนองที่น่าทึ้งที่สุดที่ได้จากน้ำหอม ทุกคนจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้สึก ไม่ว่าจะดีหรือร้าย หลังจากได้กลิ่นน้ำหอมต่างๆกัน เช่นกลิ่นของรถคันใหม่เอี่ยมที่คุณพึ่งถอยออกมาจากห้าง ซึ่งประสบการณ ์เหล่าเกิดขึ้นจากการได้กลิ่นเพียงครั้งเดียว 
           Dr. Trygg Engen, professor of psychology at Brown University, พบว่าความสามารถใน การจำกลิ่นของคนเรามีมากกว่าความสามารถในการจำภาพที่เราเห็น คนเราจะสามารถจำ กลิ่นได้แม่นยำเกือบ 65% ภายในระยะเวลาหนึ่งปี เทียบกับการจำภาพแค่ 50% ในเวลาแค่ 4 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนประสาทในสมอง “memory bank” ซึ่งการรับกลิ่นของคนเราจะถูกควบคุมโดยLimbic System ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมความรู้สึก (Emotion)และการตอบสนองทางเพศ, ศิลปะและอื่นๆ ซึ่ง Limbic System จะเก็บรวบรวมความรู้สึกต่างๆที่เรามีประสบการณ์ไว้ 
          น้ำหอมทำให้เรารู้สึกSexy, กระชับกระเฉง,แข็งแรง, สะอาด, มีความสุข, อ่อนหวาน, สร้างสรรค์, และ ความรู้สึกอื่นๆ อีกมากมาย คนเราจะตอบสนองน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ไปในแบบที่ต่างกัน ความเป็นไปได้ที่น้ำหอมจะมีผลต่อการตอบสนองนั้นไร้ขีดจำกัด กลิ่นต่างๆ ที่จะสัมผัสได้หรือไม่ได้ได้เข้ามา อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา คนเป็นล้านอาจจะต้องตายไปถ้าไม่สามารถได้กลิ่น ของควันไฟเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ เราใช้ความรู้สึกในการดมเพื่อแยกอาหารที่เสีย “มนุษย์เรา, ดังบรรพบุรุษของเรา สามารถรับรู้ถึงกลิ่นของพวกเราเองและกลิ่นที่เกิดตามธรรมชาติเช่น กลิ่นของต้นไม้,ดอกไม้หรืออาหาร. ซึ่งเป็นกลิ่นที่ถูกสร้างจากธรรมชาติและถูกออกแบบ ออกมาเป็นกลิ่นต่างๆ ที่เราสามารถพบในน้ำหอมที่มีขายทั่วไป

คุณสมบัติของน้ำหอมที่ดี
น้ำหอมที่ดีมีคุณภาพนั้น จะต้องมีคุณสมบัติของความหอมอยู่ 3 ระดับ ด้วยกัน แล้วแต่ละระดับจะค่อยๆ เจือจางเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา สำหรับการฉีดน้ำหอม 1 ครั้ง คุณจะได้รับความหอมถึง 3 ระดับด้วยกัน ที่เรียกกันว่า

>>ระดับที่ 1 หรือ กลิ่นแรก เรียกว่า ท็อป โนซ (Top Nose) เมื่อฉีดน้ำหอมตามจุดต่างๆ ในร่างกาย กลิ่นแรกที่จะรับรู้ความหอม คือ Top Nose (ท็อป โนซ) จะรับรู้ถึงความอ่อนนุ่ม ความสดชื่น ความบางเบา ของกลิ่นน้ำหอม และกลิ่นจะคงติดอยู่ประมาณ 20 นาที จากนั้นจะเจือจางความหอมหายไป

>>ระดับที่ 2 หรือ กลิ่นกลาง เรียกว่า มิดเดิล โนซ (Middle Nose) ช่วงกลิ่นกลางนี้ระดับความหอม บนร่างกายจะฟุ้งกระจายไปเต็มที่ ซึ่งช่วงกลิ่นนี้ถือว่าเป็นช่วงหัวใจหลักของน้ำหอม เพราะการรับรู้ความหอมของเราในช่วง Middle Nose (มิดเดิล โนซ) จะทำให้รับรู้ และสัมผัสความหอม จากกลิ่นที่เราเลือกใช้ได้มากที่สุดในช่วงกลิ่นกลาง ซึ่งความหอมของน้ำหอมจะคงติด และฟุ้งกระจายอยู่ประมาณ 2-4 ชั่วโมง

>>ระดับที่ 3 หรือ กลิ่นพื้นฐาน เรียกว่า เบส โนซ (Base Nose) เป็นความหอมที่เข้มข้นที่ยังคงเหลืออยู่บนร่างกายของเรา กลิ่นพื้นฐานนี้จะแสดงความหอมออกมาเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4-6 ชั่วโมง กลิ่นพื้นฐาน Base Nose (เบส โนซ) จะเป็นกลิ่นสุดท้ายที่ทำให้รับรู้ความหอมแล้วก็จะค่อยๆจางหายไปในที่สุด

เทคนิคการเก็บรักษาน้ำหอม
>เก็บน้ำหอมในที่ที่อุณหภูมิค่อนข้างคงที่
น้ำหอมเป็นสารหอมระเหยที่ระเหยได้ง่ายมาก โดยเฉพาะความร้อนจะทำให้น้ำหอมระเหยออกมามากและรวดเร็วสิ่งที่เกิดขึ้นคือกลิ่นน้ำหอมจะ จางลงมากและเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอร์ที่ฉุนจมูกและกลิ่นจะติดไม่ทนทานเนื่องจากมีส่วนผสมของสารให้กลิ่นที่น้อยลงมากนั่นเอง การ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากๆและรวดเร็วเกินไปจะทำให้น้ำหอมเสื่อมสภาพ เนื่องจากสารให้กลิ่นบางชนิดที่ผสมในน้ำหอมนั้นไวต่อ การเปลี่ยนแปลงอุณภูมิทำให้คุณสมบัติบางประการเสียไปเป็นผลให้น้ำหอมกลิ่นเพี้ยนไปจากเดิม

>เก็บให้ห่างจากสารเคมีชนิดอื่น
เนื่องจากน้ำหอมนั้นสามารถละลายรวมกับสารประเภทอื่นได้ อย่างยาทาเล็บ เซรั่มต่างๆ ดังนั้นการเก็บรักษาจึงควรให้ห่างจากสารเคมีตัวอื่น เพื่อป้องกันไม้ให้คุณสมบัติของน้ำหอมเสียไป ในปัจจุบันน้ำหอมส่วนใหญ่บรรจุอยู่ในขวดสเปรย์ที่ปิดผนึกแน่นหนาทำให้การที่จะมีสารอื่นผสม ลงไปนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

>หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดมีผลกับน้ำหอมด้วยเช่นกัน นอกจากอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากแสงแดดที่ทำให้น้ำหอมระเหยออกมามากแล้ว แสงแดดยังมีผลต่อสีของ น้ำหอมด้วย น้ำหอมในปัจจุบันใช้สารให้สีเพื่อสร้างสีสันของน้ำหอมเป็นสีต่างๆที่ต้องการ ซึ่งโมเลกุลของสีเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับแสงแดด อย่างช้าๆ เป็นผลให้สีเหล่านั้นเปลี่ยนไปเป็นสีอื่นหรือมีสีที่จางลงเรื่อยๆ ทำให้สีของน้ำหอมไม่สดใสเหมือนเดิม

>เก็บในที่แห้ง
ด้วยความที่น้ำหอมนั้นบรรจุอยู่ในขวดสเปรย์ซึ่งอาจจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบกับความชิ้นหรือไอน้ำในอากาศ แต่หากขวดน้ำหอมนั้นมีรอยรั่วเล็กๆ ความชื้นก็จะสามารถเข้าไปผสมกับน้ำหอมทำให้น้ำหอมนั้นกลิ่นเจือจางและกลิ่นแปลกไปจากเดิม เพราะฉะนั้นควรเก็บในที่ๆแห้งจะดี ต่อน้ำหอมมากกว่า

>การเก็บรักษาน้ำหอมในตู้เย็น
อุณหภูมิที่เหมาะกับการเก็บรักษาน้ำหอมนั้นทาง The Osmotheque ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์น้ำหอม ได้แนะนำอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บ รักษาไว้ว่าให้ใช้อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียสกับน้ำหอมทั่วไปและน้ำหอมที่เป็นกลิ่น Citrus ให้ใช้ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จะช่วยให้น้ำหอมนั้นมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

วิธีการฉีดน้ำหอมที่ถูกวิธี 

  >เริ่มจากการฉีด (หรือแตะแต้ม) 
น้ำหอมกลิ่นโปรดของคุณลงบนข้อมือ แต่ อย่าถูข้อมือเข้าด้วยกัน เพราะอาจสร้างความรบกวนให้น้ำหอมมีกลิ่นที่ผิดเพี้ยนไปได้ แค่ฉีดแล้วปล่อยให้น้ำหอมเซ็ตตัว

  >ฉีดจุดชีพจรต่างๆ 

 อย่างเช่น บริเวณฐานคอ หลังติ่งหู บริเวณข้อพับแขน ร่องอก ตามแนวไหปลาร้า หัวไหล่ทั้งสองข้าง ฉีดน้ำบริเวณลำตัว เสื้อผ้า และบริเวณหลังหัวเข่า (ถ้าคุณใส่ชุดหรือกระโปรงสั้น) จะให้ความหอมแบบทั่วเรือนร่าง อย่างแท้จริง  "" การแต้มน้ำหอมบริเวณจุดชีพจร จะช่วยทำให้ความหอมติดทนนาน เพราะ ความอุ่นใต้ผิวหนังที่เกิดจากการหมุนเวียนของเลือดจะเป็นตัวช่วยดูดซับและกักเก็บน้ำหอม บวกกับคุณสมบัติของน้ำหอม ที่มีการกระจายตัวของกลิ่นได้ดีในอุณหภูมิที่อุ่น ""

    >การเติมน้ำหอมระหว่างวัน 
การเติมน้ำหอมระหว่างวัน ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น และลักษณะพิเศษ
 (Character) ของน้ำหอมแต่ละชนิด เช่นน้ำหอมที่มีพื้นฐานของกลิ่นพรรณไม้(Oriental & woody) มักจะติดทนนานกว่ากลิ่นหอมจากดอกไม้หรือผลไม้(Floral & Citrus) หรือน้ำหอม Eau de Perfume จะมีกลิ่นน้ำมันหอมที่เข้มข้นกว่า Eau de Toilette หรือ Cologne ก็จะกลิ่นติดทนนานกว่า 

>>ใช้น้ำหอมมากหน่อยหากคุณเป็นคนผิวแห้ง เนื่องจากผิวมันมีน้ำมันช่วยคงกลิ่นให้ติดอยู่ยาวนาน ในขณะเดียวกันหากใส่น้ำหอมแล้วต้องอยู่ในอากาศเย็นให้เลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นแรงกว่าปกติ เนื่องจากความเย็นหรืออุณหภูมิต่ำจะลดกลิ่นหอมของน้ำหอมให้น้อยลงกว่าที่เป็นอย่าฉีดน้ำหอมลงบนเส้นผมหรือแปรงๆ ผมเด็ดขาด ยกเว้นว่าเส้นผมของคุณจะสะอาดจริงๆเพราะน้ำมันบนเส้นผมอาจทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเปลี่ยนไปได้ คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำหอมนั้นจะเกิดปฎิกิริยาตอบโต้กับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ฉะนั้นอย่าหวังว่าน้ำหอมกลิ่นโปรดของคุณจะส่งกลิ่นเดิม

 !!>เวลาที่คุณเครียด มีรอบเดือน หรือตั้งครรภ์ ใครที่ชอบฉีดน้ำหอมเป็นประจำ สังเกตคนรอบข้างด้วยนะคะ 
ว่าเค้ามีอาการแบบไหน หอม หรือ ฉุนกลิ่นน้ำหอมของคุณจนไม่กล้าเข้าใกล้ เนื่องจากช่วงที่เรามีฮอร์โมนผิดปกติจะส่งผลถึงกลิ่นของน้ำหอมด้วยค่ะ


อ้างอิงเนื้อหาจาก
http://idofragrance.com/คุณสมบัติน้ำหอม-และวิธีเก็บรักษาน้ำหอม/
https://www.facebook.com/notes/น้ำหอมแท้-pa-perfume/วิธีฉีดน้ำหอมอย่างถูกต้อง-/748657285195717
http://www.perfumetic.com/article/ความแตกต่างของน้ำหอม-eau-de-toilette-edt-กับ-eau-de-parfum-edp

อ้างอิงรูปภาพ
http://board.postjung.com/821030.html
http://www.thefragranceshop.co.uk/fragrance-guide.aspx
http://www.mondanite.net/article/1385/fragrance-hacks-for-a-lasting-scent
http://www.kakopedija.com/765/kako-produziti-miris-parfema/
http://preventdisease.com/news/12/121012_Feel-Disgusted-By-Certain-Tastes-and-Smells-How-It-Helps-You-Detect-Impure-Foods.shtml


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น