Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 9 : WineLover(สิ่งที่นักเรียนสนใจ)

     "ไวน์" ที่ใช้ในการสังสรรค์ หรือในพิธีต่างๆที่ได้ใช้กันอยู่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่าไวน์นี้มีต้กำเนิดอย่างไรและมีกี่ประเภท แล้วแต่ละชนิดเป็นอย่างไรกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ

"ต้นกำเนิดไวน์"  
       ไวน์ (Wine) เป็นเครื่องดื่มแรกที่เกิดขึ้นเอง ด้วยการหมักบ่มตามธรรมชาติในแอ่งน้ำใต้ต้นองุ่นธรรมชาติได้สร้างไวน์ขึ้นมาเอง โดยที่มนุษย์คาดคิดไม่ถึง เมื่อฝนตก น้ำที่ชะล้างหน้าดินบริเวณใต้ต้นองุ่น จนเป็นแอ่งน้ำเล็กๆและองุ่นที่สุกจนเต็มที่ตกหล่น หมักบ่มอยู่ในแอ่งน้ำใต้ต้นองุ่นนี้เอง การหมักบ่มเกิดการเปลี่ยนน้ำตาลในองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นเป็นฟองอากาศ บุ๋มๆ ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำในแอ่ง เมื่อมนุษย์สังเกตุเห็นเกิดความสงสัยจึงไปลองชิมดู ด้วนรสชาติที่หวานอร่อยน่าหลงใหล จึงดื่มกินไปมากพอดู เกิดอาการมึนเมา ไร้สติ จากนั้นด้วยความกลัวโดยไม่รู้สาเหตุที่มาจึงหวาดกลัวไม่กล้าไปยุ่งกับแอ่งน้ำนี้อีก ไวน์จึงถูกลืมเลือนไปนานแสนนาน จนกระทั้งมนุษย์คิดค้นผลิต “เบียร์”  ขึ้นมาเมื่อ 6,000 ปี ก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นต่อมาในช่วง 1,500 ปี ก่อนคริสตกาล ไวน์ก็ถูกผลิตขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ โดยไวน์ส่วนใหญ่นิยมดื่มกันมากในหมู่ชนชั้นผู้ดี นักบวช และเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อต่างๆทางศาสนาด้วย

     ไวน์มีอายุยาวนานมานับ 1,000 ปี พอๆ กับอารธรรมความเจริญทางทางวัฒนธรรมของอียิปต์ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในสุสานของอียิปต์ และมีการสันนิฐานว่า ไวน์ อานเริ่มกำเนิดจากเปอร์เชีย (Preek) อียิปต์ (Egypt) ฟินิเซีย (Phoenicia) คือ ซีเรียในปัจจุบัน กรีก (Greek) และโรมัน (Roman) ซึ่งทุกประเทศนิยมไวน์รสเข้มข้น และมีดีกรีแอลกอฮอล์ค่อนข้างแรง โดยปกติมีรสจัดมากนิยมผสมกับน้ำ ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนเกี่ยวกับเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่น้อยกว่า 521 บรรทัด และยังมีการค้นพบโถโบราณที่บรรจุเมล็ดองุ่นไว้ด้วย รวมถึงภาชนะที่ใช้ใส่ไวน์ดื่มกิน


     ในสมัย 7,000 ปี ก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของจีน ก็มีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มที่มีกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ด้วย

     เมื่อย้อนกลับไปถึงช่วง 1,500 B.C. ปี ก่อนคริสตกาลในสมัยกรีก และฟินิเซีย เป็นชาติที่เข้ามาปกครองประเทศต่าง ๆ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จัดเป็นไวน์ที่ผลิตมาจาองุ่น ซึ่งต้นองุ่นเป็นสกุลของพืชที่แยกย่อยมาจากตระกูลพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง นับแต่ความเจริญเริ่มขึ้น ไวน์ก็เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น แหล่งที่ผลิตไวน์ส่วนใหญ่ในยุคนั้น คือ อิตาลี ฝรั่งเศส และ สเปน  จนกระทั้งชาวกรีกเรียกอิตาลีว่าเป็น “บ้านแห่งไวน์” หรือ “ดินแดนแห่งไวน์” เช่นเดียวกับที่พวกไวกิ้ง เรียกอเมริกาว่าเป็น “ดินแดนแห่งไวน์” เพราะเป็นแหล่งผลิตไวน์พื้นเมืองมาตั้ง 2,000 ปี มาแล้ว

ประเภทของไวน์ :ไวน์สามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้
>>ไวน์ที่ไม่มีฟอง (still wine) บางทีก็เรียกว่า Table Wine  เป็นไวน์ที่ยอดนิยม เป็นไวน์ที่เหมาะสำหรับดื่มคู่กับอาหาร มีดรีแอลกอฮอล์ประมาณ 7-15% ซึ่งก็แบ่งประเภทย่อยปอีก ได้แก่ 
>Red Wine (ไวน์แดง) 



หมักจากองุ่นแดงพันธุ์ Merlot,Cabernet Sauvignon,Pinot Noir,Syrah ไวน์แดงจากแคว้นบอร์โดซ์ของฝรั่งเศส ถือว่าเป็นไวน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลก และไวน์แดงทุกชนิดจะไม่ออกรสชาติหวานเลย ฝาด ค่อนข้านเข้มข้น กลิ่นแรง นิยมดืมแบบไใ่แช่เย็น เพราะความเย็นจะทำให้ไวน์มีรสขมขึ้น เสริ์ฟพร้อมกับอาหารพวกเนื้อสัตว์ เนื้ออกสีแดงเช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแพะ เนื้อเก้ง 
>White Wine (ไวน์ขาว) 



หมักจากองุ่นเขียวพันธุ์ Chardonnary , Riesling ,Sauvignon Blanc น้ำไวน์จะมีสีขาวออกเหลือง รสอ่อน ฝาดนิดหน่อย นิยมดื่มแบบแช่เย็นในถังที่อุณหภูมิ 7-12 องศาฯ มักเสิร์ฟพร้อมกับอาหารทะเล เนื้อสัตว์ที่มีสีขาวประเภทต่างๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปู เนื้อกุ้ง 
>Rose Wine (ไว์โรเซ่) 



ไว์สีชมพูรสอ่อน ออกหวาน กลิ่นหอม เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นดื่มไวน์  นิยมดื่มแบบแช่เย็น พร้อมกับอาหารทุกชนิด

>>ไวน์ที่มีฟอง (Sparkling Wine) แต่ถ้าผลิตในเมืองแชมเปญ จะเรียกว่า “Champagne” 
ในเยอรมันจะเรียกว่า “Schaumwich” หรือ “Sekt” เป็นไวน์จำพวกที่มีดีกรีปานกลางประมาณ 15-18%  ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาว และส่วนน้อยจะเป็นไวน์แดง หรือไวน์สีชมพู รสของไวน์ประเภทนี้มีหลายหลายประเภท ตั้งแต่ไม่หวานจนไปถึงหวานนิดหน่อย หวาน แะ หวานมาก เป็นไวน์ที่ไม่เหมาะดื่นคู่กับอาหาร แต่เป็นการดื่มฉาบฉวยในบางโอกาส โดยเฉพาะในโอกาสฉลองชัย แสดงความยินดี 

>>ไวน์ที่แต่งเสริมดีกรี (Fortified Wine)


เป็นไวน์ที่มีแอลกอฮอล์สูงประมาณ 18-22% นิยมดื่มพร้อมขนมหรืออาหารว่าง แต่นักดื่มทั่วไปไม่นิยม  บ้างทีเรียกว่า “เหล้าไวน์” 

>>ไวน์ที่ปรุงแต่งด้วนสมุนไพร (Aromatized Wine) 
เป็นไวน์ที่มีสรรพคุณทางยา กลั่นผสมพวกรากไ้รากยา สมุนไพรต่างๆเข้าไป มีกลิ่นหอมฉุน น้ำสีเหลือง หรือขาว หรือแดง ได้แก่ เวอร์มูธ (Vermouth)


อุณหภูมิในการเสริฟ์ไวน์
       ควรปรับให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับเสริฟ์อย่างช้า ๆ สำหรับไวน์ขาวรส ไม่ หวาน (Dry White Wine) และ ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) ควรเสริฟ์ในขณะที่มี อุณหภูมิระหว่าง 8 - 12 องศา C แต่อย่าให้เย็นจัดจนเริ่มจับเป็นเกล็ด หรือแข็งจน เป็นน้ำแข็ง ไวน์ที่ค่อนข้าง หวาน หรือไวน์ ขาวหวาน,แชมเปญหรือไวน์ฟอง (Sparkling Wine) อาจ เสริฟ ในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่า ไวน์ขาว หรือไวน์รสไม่หวาน ได้ คือ ประมาณ 6 - 8 องศา C ไวน์แดงอ่อน รสนุ่ม จะต้องเสริฟ ณ อุณหภูมิ ของห้องเก็บไวน์มาตรฐาน (Cellar)ประมาณ 10 - 12 องศา C ไวน์แดงที่เข้มข้น ควรเสิรฟ์ใน อุณหภูมิ "Chambre" คือให้ไวน์ มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิในห้องที่อบอุ่นปานกลาง เช่น ไวน์บอร์โด เสิร์ฟที่ อุณหภูมิ 18 -19 องศา C ส่วน ไวน์เบอร์ กันดี เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15 - 16 องศา C 

!!!!การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิรฟ์ไวน์ขาว!!!! 
-เสิร์ฟเย็นจัดจนเกินไป หรือกลายเป็นน้ำแข็ง 
-แช่เย็นไว้ในตู้เย็นนานกว่า 2 ชั่วโมง 
-แช่ไวน์ไว้ในช้องทำน้ำแข็ง 
-ใส่น้ำแข็นในไวน์ 

!!!!การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิร์ฟไวน์แดง!!!! 
-อุ่นให้ร้อนจนเกินไป การทำให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิ "Chambre" ไม่ได้(หมายความว่า อุ่นด้วย ความร้อน) 
-ใส่ขวดไวน์ไว้ในหม้อน้ำร้อน 

สำหรับไวน์ทุกชนิด ต้องปรับอุณหภูมิของไวน์อย่างช้า ๆ ให้เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการดื่ม ไม่ควรใช้วิธีลดหรือเพิ่มอุณหภูมิที่เร็วเกินไป 

อุณหภูมิที่ไวน์จะมีรสดีที่สุด 
       ไวน์ใหม่ควรจะเสิร์ฟให้มีความเย็นมากกว่าไวน์ที่เก็บหลายปี 
อย่าลืมว่า ขณะที่รับประทานอาหาร อุณหภูมิของไวน์ในแก้วจะเพิ่มขึ้น ไวน์ที่เสิร์ฟในอุณหภูมิระหว่าง 6 องศา C และ 8 องศา C ในห้องที่มีอุณหภูมิ 18 องศา C จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 10 องศา C ถึง 12 องศา C ได้ในเวลาประมาณ 10 นาที

แก้วดีที่เหมาะกับไวน์ดี 
ลักษณะที่จำเป็นของแก้วไวน์ที่ดี มีดังนี้คือ 



       แก้วไวน์จะต้องมีขนาดใหญ่พอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรินไวน์จนเต็มแก้ว ควรเป็นแก้วทรงกลม ปากแก้วแคบเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นไวน์อบอวลอยู่ในแก้ว และหอมเตะจมูกของผู้ดื่มได้ 
ควรมีก้านแก้วยาว เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของแก้วไวน์ในแก้วเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปในขณะที่ดื่ม 

       สิ่งสำคัญที่พึงนึกถึง แก้วที่ดีจะต้องทำขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการดื่มและการดมกลิ่นหอมของไวน์ ไม่ใช่เพียง เพื่อมองดูสวยงามเท่านั้น ควรหลีกเลี่ยงแก้วที่หนาหรือแก้วที่มีสีสัน ตัวแก้วควรจะทำมมาจากเแก้วเนื้อดี มีรูปร่างเรียวบางที่สุดที่จะทำได้ และควรจะใสสะอาดด้วยแค่เพียงแสงไฟก็เพียง พอแล้วที่จะทำให้เราสามารถชื่นชมกับสีสัน ประกายแวววาว และความใสของไวน์นั้นได้ ความสะอาดของแก้วไวน์ แก้วไวน์จะต้องสะอาดปราศจากรอยเปรอะเปื้อน ระวังรอยลิปสติกที่อาจหลงเหลืออยู่ ล้างแก้วในน้ำอุ่น ๆ ไม่ต้องใช้น้ำยาล้าง ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดแก้ว ระวังอย่าให้ฝุ่นจับอยู่บนชั้นวางแก้ว

วิธีเปิดขวดไวน์ 

       เมื่อคุณได้เลือกหยิบไวน์มาจากหิ้งเก็บไวน์เพื่อเสิร์ฟให้แขกผู้มีเกียรติของคุณนั้นควรคำนึงว่าคุณได้เก็บ ไวน์ นี้ไว้อย่างดี โดยไม่ได้ถูกแสงสว่าง และอยู่ในอุณหภูมิที่สม่ำเสมอที่ 10 - 20 องศา C 

*ควรสังเกตุ ถ้าเป็นไวน์แดงคุณภาพสูง ที่ผ่านการบ่มในขวดหลายปี ถ้าไม่มีตะกอนอยู่ที่ก้นขวดก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ตะกร้า เสิร์ฟแต่ในกรณีที่เป็นไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน ก็อาจมีตะกอน จากกรดของเปลือกองุ่นอยู่ก้นขวดคุณจะต้องใช้ความระมัด ระวังในการเสิร์ฟไวน์ขวดนี้เป็นพิเศษโดยใช้ตะกร้าเสิร์ฟ และวางขวดให้อยู่ในแนวนอนตามสภาพที่มันอยู่บนหิ้งเก็บไวน์และระวังอย่า เขย่าขวดเพื่อไม่ให้ตะกอนเจือปนกับไวน์รสกลมกล่อมขวดนี้ได้ 

วิธีเปิดฝาขวด (ควรทำอย่างเบามือ) 
ใช้มีดกรีดส่วนที่เป็นโลหะหรือพลาสติกที่หุ้มรอบคอขวดออก ให้ต่ำจากฝาขวด 1 ซม. เพื่อไม่ให้ไวน์ สัมผัสวัสดุใด ๆ รอบคอ ขวดในขณะริน และเช็ดด้วยผ้าสะอาด 

>วิธีเปิดจุกคอร์ก 
การจะเปิดจุกคอร์กได้ดี ควรจะมีที่เปิดจุกคอร์กแบบเกลียวเพื่อความสะดวกในการเปิด 
เมื่อดึงจุกคอร์กออกมาแล้ว ให้ดมกลิ่นจากจุกคอร์กนี้อย่างระมัดระวัง ถ้ามีกลิ่นบูดอยู่ในจุกคอร์กจะต้องเก็บไวน์ขวดนี้ และ เสิร์ฟไวน์ขวดใหม่ทันที เช็ดรอบคอขวดอีกครั้ง โดยเช็ดรอบขอบด้านในของขวดด้วย รินไวน์ลงในแก้วเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติ วิธีเปิดขวดแชมเปญหรือไวน์ฟอง จับขวดด้วยมือหนึ่ง และใช้มืออีกช้างหนึ่งปลดลวดที่รัดจุกคอร์กอยู่ เอียงขวดเล็กน้อยให้เป็นมุมเฉียง จับจุกคอร์กให้แน่นขณะที่หมุนขวดไปด้วย จุกคอร์กจะขยับออกอย่างง่าย ๆ ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงจุกคอร์ก ออกทีละน้อย เพื่อให้แก๊สภายในขวด ดันออกมาอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ โดยไม่ทำให้ฟองล้นออกมา 
เช็ดรอบคอขวดด้วยผ้าสะอาด เทแชมเปญเพียงเล็กน้อยลงในแก้วแต่ละใบ แล้วจึงเติมลงในแก้วแต่ละใบอีกครั้งให้เป็น 2/3 ของแก้ว 
อย่าบดบังฉลากบนขวด เพราะฉลากที่ออกแบบมาอย่างสวยงามเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งที่ดึงดูดใจผู้ดื่ม 
ไม่ควรใช้ที่เขย่าผมสเหล้าเพื่อเพิ่มฟองอย่างเด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำลายฟองและกลิ่มหอมของไวน์ชนิดนี้ให้หมดไปและ ยังเป็นการดูหมิ่นความพยายามของทั้งผู้ผลิตและ ผู้เก็บรักษาอีกด้วย 

การรินไวน์อย่างถูกวิธี


      ไม่มีอะไรจะง่ายดายเท่าการรินไวน์ อย่างไรก็ตาม คุณควรทำตามนำแนะนำเหล่านี้อย่างตั้งใจด้วย 
>อย่าให้ขวดอยู่สูงจากแก้ว ควรให้คอขวดอยู่ใกล้กับปากแก้ว เพื่อที่ไวน์จะได้ไหลลงแก้วอย่างเบา ๆ ละไวน์ไม่กระเพื่อม 
>อย่าให้คอขวดไวน์อิงติดกับปากแก้วขณะริน 
>ระวังให้ไวน์หยดสุดท้ายที่คุณรินนั้นหยดลงในแก้วไวน์ ไม่ใช่หยดลงบนผ้าปูโต๊ะทำได้โดยหมุนขวดเล็กน้อยใน ขณะที่ยกคอขวดขึ้นจากนั้นเช็ดคอขวดทันทีด้วย ผ้าสะอาด ก่อนที่จะเสิร์ฟไวน์ ให้แขกคนต่อไป(เสิร์ฟจากซ้ายไปขวา และสุภาพ- สตรีก่อนสุภาพบุรุษ) 
>ถ้าคุณใช้ผ้ารองถือขวด เมื่อหยิบขวดไวน์ออกจากถังแช่ จะต้องระวังไม่ให้ผ้าปิดบัง ฉลากบนขวดไวน์ซึ่งเปรียบเสมือประกาศนียบัตร รับรองไวน์ขวดนั้นเลยทีเดียว 
>อย่ารินไวน์จนปริ่มถึงขอบแก้ว 
>อย่าปล่อยให้แก้วว่างเปล่า โดยไม่ได้เติมไวน์ รวมทั้งอย่ารินไวน์ให้มากเกินไป 

  คุณควรจะต้องเสิร์ฟไวน์หลายชนิในอาหารต่อมื้อ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะสร้าง "ลำดับ"จากความอ่อนนุ่มที่สุด ไปสู่รสชาติเต็มขั้นโดยเสิร์ฟ 

ไวน์รสไม่หวาน ก่อน ไวน์หวาน 
ไวน์ขาว ก่อน ไวน์แดง 
ไวน์แดง ก่อน ไวน์ที่มีรสหวาน 
และไวน์ใหม่ ก่อน ไวน์ที่เก็บบ่มไว้หลายปี 

  !!!และมีแต่น้ำเท่านั้นไม่ใช่ไวน์ ที่เหมาะจะดื่มร่วมกับอาหารที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู สลัด พุดดิ้งส้ม หรือพุดดิ้งช็อกโกแลต เพราะอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นศัตรูกับไวน์ ทำให้ไวน์ไม่มีรสชาติ หรือมีรสชาติเปลี่ยนไป

VIDEO





อ้างอิงเนื้อหาจาก
https://winethai.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C/
http://www.cocktailthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=155692