Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 9 : WineLover(สิ่งที่นักเรียนสนใจ)

     "ไวน์" ที่ใช้ในการสังสรรค์ หรือในพิธีต่างๆที่ได้ใช้กันอยู่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่าไวน์นี้มีต้กำเนิดอย่างไรและมีกี่ประเภท แล้วแต่ละชนิดเป็นอย่างไรกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ

"ต้นกำเนิดไวน์"  
       ไวน์ (Wine) เป็นเครื่องดื่มแรกที่เกิดขึ้นเอง ด้วยการหมักบ่มตามธรรมชาติในแอ่งน้ำใต้ต้นองุ่นธรรมชาติได้สร้างไวน์ขึ้นมาเอง โดยที่มนุษย์คาดคิดไม่ถึง เมื่อฝนตก น้ำที่ชะล้างหน้าดินบริเวณใต้ต้นองุ่น จนเป็นแอ่งน้ำเล็กๆและองุ่นที่สุกจนเต็มที่ตกหล่น หมักบ่มอยู่ในแอ่งน้ำใต้ต้นองุ่นนี้เอง การหมักบ่มเกิดการเปลี่ยนน้ำตาลในองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นเป็นฟองอากาศ บุ๋มๆ ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำในแอ่ง เมื่อมนุษย์สังเกตุเห็นเกิดความสงสัยจึงไปลองชิมดู ด้วนรสชาติที่หวานอร่อยน่าหลงใหล จึงดื่มกินไปมากพอดู เกิดอาการมึนเมา ไร้สติ จากนั้นด้วยความกลัวโดยไม่รู้สาเหตุที่มาจึงหวาดกลัวไม่กล้าไปยุ่งกับแอ่งน้ำนี้อีก ไวน์จึงถูกลืมเลือนไปนานแสนนาน จนกระทั้งมนุษย์คิดค้นผลิต “เบียร์”  ขึ้นมาเมื่อ 6,000 ปี ก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นต่อมาในช่วง 1,500 ปี ก่อนคริสตกาล ไวน์ก็ถูกผลิตขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ โดยไวน์ส่วนใหญ่นิยมดื่มกันมากในหมู่ชนชั้นผู้ดี นักบวช และเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อต่างๆทางศาสนาด้วย

     ไวน์มีอายุยาวนานมานับ 1,000 ปี พอๆ กับอารธรรมความเจริญทางทางวัฒนธรรมของอียิปต์ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในสุสานของอียิปต์ และมีการสันนิฐานว่า ไวน์ อานเริ่มกำเนิดจากเปอร์เชีย (Preek) อียิปต์ (Egypt) ฟินิเซีย (Phoenicia) คือ ซีเรียในปัจจุบัน กรีก (Greek) และโรมัน (Roman) ซึ่งทุกประเทศนิยมไวน์รสเข้มข้น และมีดีกรีแอลกอฮอล์ค่อนข้างแรง โดยปกติมีรสจัดมากนิยมผสมกับน้ำ ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนเกี่ยวกับเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่น้อยกว่า 521 บรรทัด และยังมีการค้นพบโถโบราณที่บรรจุเมล็ดองุ่นไว้ด้วย รวมถึงภาชนะที่ใช้ใส่ไวน์ดื่มกิน


     ในสมัย 7,000 ปี ก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของจีน ก็มีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มที่มีกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ด้วย

     เมื่อย้อนกลับไปถึงช่วง 1,500 B.C. ปี ก่อนคริสตกาลในสมัยกรีก และฟินิเซีย เป็นชาติที่เข้ามาปกครองประเทศต่าง ๆ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จัดเป็นไวน์ที่ผลิตมาจาองุ่น ซึ่งต้นองุ่นเป็นสกุลของพืชที่แยกย่อยมาจากตระกูลพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง นับแต่ความเจริญเริ่มขึ้น ไวน์ก็เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น แหล่งที่ผลิตไวน์ส่วนใหญ่ในยุคนั้น คือ อิตาลี ฝรั่งเศส และ สเปน  จนกระทั้งชาวกรีกเรียกอิตาลีว่าเป็น “บ้านแห่งไวน์” หรือ “ดินแดนแห่งไวน์” เช่นเดียวกับที่พวกไวกิ้ง เรียกอเมริกาว่าเป็น “ดินแดนแห่งไวน์” เพราะเป็นแหล่งผลิตไวน์พื้นเมืองมาตั้ง 2,000 ปี มาแล้ว

ประเภทของไวน์ :ไวน์สามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้
>>ไวน์ที่ไม่มีฟอง (still wine) บางทีก็เรียกว่า Table Wine  เป็นไวน์ที่ยอดนิยม เป็นไวน์ที่เหมาะสำหรับดื่มคู่กับอาหาร มีดรีแอลกอฮอล์ประมาณ 7-15% ซึ่งก็แบ่งประเภทย่อยปอีก ได้แก่ 
>Red Wine (ไวน์แดง) 



หมักจากองุ่นแดงพันธุ์ Merlot,Cabernet Sauvignon,Pinot Noir,Syrah ไวน์แดงจากแคว้นบอร์โดซ์ของฝรั่งเศส ถือว่าเป็นไวน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลก และไวน์แดงทุกชนิดจะไม่ออกรสชาติหวานเลย ฝาด ค่อนข้านเข้มข้น กลิ่นแรง นิยมดืมแบบไใ่แช่เย็น เพราะความเย็นจะทำให้ไวน์มีรสขมขึ้น เสริ์ฟพร้อมกับอาหารพวกเนื้อสัตว์ เนื้ออกสีแดงเช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแพะ เนื้อเก้ง 
>White Wine (ไวน์ขาว) 



หมักจากองุ่นเขียวพันธุ์ Chardonnary , Riesling ,Sauvignon Blanc น้ำไวน์จะมีสีขาวออกเหลือง รสอ่อน ฝาดนิดหน่อย นิยมดื่มแบบแช่เย็นในถังที่อุณหภูมิ 7-12 องศาฯ มักเสิร์ฟพร้อมกับอาหารทะเล เนื้อสัตว์ที่มีสีขาวประเภทต่างๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปู เนื้อกุ้ง 
>Rose Wine (ไว์โรเซ่) 



ไว์สีชมพูรสอ่อน ออกหวาน กลิ่นหอม เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นดื่มไวน์  นิยมดื่มแบบแช่เย็น พร้อมกับอาหารทุกชนิด

>>ไวน์ที่มีฟอง (Sparkling Wine) แต่ถ้าผลิตในเมืองแชมเปญ จะเรียกว่า “Champagne” 
ในเยอรมันจะเรียกว่า “Schaumwich” หรือ “Sekt” เป็นไวน์จำพวกที่มีดีกรีปานกลางประมาณ 15-18%  ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาว และส่วนน้อยจะเป็นไวน์แดง หรือไวน์สีชมพู รสของไวน์ประเภทนี้มีหลายหลายประเภท ตั้งแต่ไม่หวานจนไปถึงหวานนิดหน่อย หวาน แะ หวานมาก เป็นไวน์ที่ไม่เหมาะดื่นคู่กับอาหาร แต่เป็นการดื่มฉาบฉวยในบางโอกาส โดยเฉพาะในโอกาสฉลองชัย แสดงความยินดี 

>>ไวน์ที่แต่งเสริมดีกรี (Fortified Wine)


เป็นไวน์ที่มีแอลกอฮอล์สูงประมาณ 18-22% นิยมดื่มพร้อมขนมหรืออาหารว่าง แต่นักดื่มทั่วไปไม่นิยม  บ้างทีเรียกว่า “เหล้าไวน์” 

>>ไวน์ที่ปรุงแต่งด้วนสมุนไพร (Aromatized Wine) 
เป็นไวน์ที่มีสรรพคุณทางยา กลั่นผสมพวกรากไ้รากยา สมุนไพรต่างๆเข้าไป มีกลิ่นหอมฉุน น้ำสีเหลือง หรือขาว หรือแดง ได้แก่ เวอร์มูธ (Vermouth)


อุณหภูมิในการเสริฟ์ไวน์
       ควรปรับให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับเสริฟ์อย่างช้า ๆ สำหรับไวน์ขาวรส ไม่ หวาน (Dry White Wine) และ ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) ควรเสริฟ์ในขณะที่มี อุณหภูมิระหว่าง 8 - 12 องศา C แต่อย่าให้เย็นจัดจนเริ่มจับเป็นเกล็ด หรือแข็งจน เป็นน้ำแข็ง ไวน์ที่ค่อนข้าง หวาน หรือไวน์ ขาวหวาน,แชมเปญหรือไวน์ฟอง (Sparkling Wine) อาจ เสริฟ ในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่า ไวน์ขาว หรือไวน์รสไม่หวาน ได้ คือ ประมาณ 6 - 8 องศา C ไวน์แดงอ่อน รสนุ่ม จะต้องเสริฟ ณ อุณหภูมิ ของห้องเก็บไวน์มาตรฐาน (Cellar)ประมาณ 10 - 12 องศา C ไวน์แดงที่เข้มข้น ควรเสิรฟ์ใน อุณหภูมิ "Chambre" คือให้ไวน์ มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิในห้องที่อบอุ่นปานกลาง เช่น ไวน์บอร์โด เสิร์ฟที่ อุณหภูมิ 18 -19 องศา C ส่วน ไวน์เบอร์ กันดี เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15 - 16 องศา C 

!!!!การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิรฟ์ไวน์ขาว!!!! 
-เสิร์ฟเย็นจัดจนเกินไป หรือกลายเป็นน้ำแข็ง 
-แช่เย็นไว้ในตู้เย็นนานกว่า 2 ชั่วโมง 
-แช่ไวน์ไว้ในช้องทำน้ำแข็ง 
-ใส่น้ำแข็นในไวน์ 

!!!!การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิร์ฟไวน์แดง!!!! 
-อุ่นให้ร้อนจนเกินไป การทำให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิ "Chambre" ไม่ได้(หมายความว่า อุ่นด้วย ความร้อน) 
-ใส่ขวดไวน์ไว้ในหม้อน้ำร้อน 

สำหรับไวน์ทุกชนิด ต้องปรับอุณหภูมิของไวน์อย่างช้า ๆ ให้เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการดื่ม ไม่ควรใช้วิธีลดหรือเพิ่มอุณหภูมิที่เร็วเกินไป 

อุณหภูมิที่ไวน์จะมีรสดีที่สุด 
       ไวน์ใหม่ควรจะเสิร์ฟให้มีความเย็นมากกว่าไวน์ที่เก็บหลายปี 
อย่าลืมว่า ขณะที่รับประทานอาหาร อุณหภูมิของไวน์ในแก้วจะเพิ่มขึ้น ไวน์ที่เสิร์ฟในอุณหภูมิระหว่าง 6 องศา C และ 8 องศา C ในห้องที่มีอุณหภูมิ 18 องศา C จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 10 องศา C ถึง 12 องศา C ได้ในเวลาประมาณ 10 นาที

แก้วดีที่เหมาะกับไวน์ดี 
ลักษณะที่จำเป็นของแก้วไวน์ที่ดี มีดังนี้คือ 



       แก้วไวน์จะต้องมีขนาดใหญ่พอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรินไวน์จนเต็มแก้ว ควรเป็นแก้วทรงกลม ปากแก้วแคบเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นไวน์อบอวลอยู่ในแก้ว และหอมเตะจมูกของผู้ดื่มได้ 
ควรมีก้านแก้วยาว เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของแก้วไวน์ในแก้วเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปในขณะที่ดื่ม 

       สิ่งสำคัญที่พึงนึกถึง แก้วที่ดีจะต้องทำขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการดื่มและการดมกลิ่นหอมของไวน์ ไม่ใช่เพียง เพื่อมองดูสวยงามเท่านั้น ควรหลีกเลี่ยงแก้วที่หนาหรือแก้วที่มีสีสัน ตัวแก้วควรจะทำมมาจากเแก้วเนื้อดี มีรูปร่างเรียวบางที่สุดที่จะทำได้ และควรจะใสสะอาดด้วยแค่เพียงแสงไฟก็เพียง พอแล้วที่จะทำให้เราสามารถชื่นชมกับสีสัน ประกายแวววาว และความใสของไวน์นั้นได้ ความสะอาดของแก้วไวน์ แก้วไวน์จะต้องสะอาดปราศจากรอยเปรอะเปื้อน ระวังรอยลิปสติกที่อาจหลงเหลืออยู่ ล้างแก้วในน้ำอุ่น ๆ ไม่ต้องใช้น้ำยาล้าง ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดแก้ว ระวังอย่าให้ฝุ่นจับอยู่บนชั้นวางแก้ว

วิธีเปิดขวดไวน์ 

       เมื่อคุณได้เลือกหยิบไวน์มาจากหิ้งเก็บไวน์เพื่อเสิร์ฟให้แขกผู้มีเกียรติของคุณนั้นควรคำนึงว่าคุณได้เก็บ ไวน์ นี้ไว้อย่างดี โดยไม่ได้ถูกแสงสว่าง และอยู่ในอุณหภูมิที่สม่ำเสมอที่ 10 - 20 องศา C 

*ควรสังเกตุ ถ้าเป็นไวน์แดงคุณภาพสูง ที่ผ่านการบ่มในขวดหลายปี ถ้าไม่มีตะกอนอยู่ที่ก้นขวดก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ตะกร้า เสิร์ฟแต่ในกรณีที่เป็นไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน ก็อาจมีตะกอน จากกรดของเปลือกองุ่นอยู่ก้นขวดคุณจะต้องใช้ความระมัด ระวังในการเสิร์ฟไวน์ขวดนี้เป็นพิเศษโดยใช้ตะกร้าเสิร์ฟ และวางขวดให้อยู่ในแนวนอนตามสภาพที่มันอยู่บนหิ้งเก็บไวน์และระวังอย่า เขย่าขวดเพื่อไม่ให้ตะกอนเจือปนกับไวน์รสกลมกล่อมขวดนี้ได้ 

วิธีเปิดฝาขวด (ควรทำอย่างเบามือ) 
ใช้มีดกรีดส่วนที่เป็นโลหะหรือพลาสติกที่หุ้มรอบคอขวดออก ให้ต่ำจากฝาขวด 1 ซม. เพื่อไม่ให้ไวน์ สัมผัสวัสดุใด ๆ รอบคอ ขวดในขณะริน และเช็ดด้วยผ้าสะอาด 

>วิธีเปิดจุกคอร์ก 
การจะเปิดจุกคอร์กได้ดี ควรจะมีที่เปิดจุกคอร์กแบบเกลียวเพื่อความสะดวกในการเปิด 
เมื่อดึงจุกคอร์กออกมาแล้ว ให้ดมกลิ่นจากจุกคอร์กนี้อย่างระมัดระวัง ถ้ามีกลิ่นบูดอยู่ในจุกคอร์กจะต้องเก็บไวน์ขวดนี้ และ เสิร์ฟไวน์ขวดใหม่ทันที เช็ดรอบคอขวดอีกครั้ง โดยเช็ดรอบขอบด้านในของขวดด้วย รินไวน์ลงในแก้วเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติ วิธีเปิดขวดแชมเปญหรือไวน์ฟอง จับขวดด้วยมือหนึ่ง และใช้มืออีกช้างหนึ่งปลดลวดที่รัดจุกคอร์กอยู่ เอียงขวดเล็กน้อยให้เป็นมุมเฉียง จับจุกคอร์กให้แน่นขณะที่หมุนขวดไปด้วย จุกคอร์กจะขยับออกอย่างง่าย ๆ ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงจุกคอร์ก ออกทีละน้อย เพื่อให้แก๊สภายในขวด ดันออกมาอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ โดยไม่ทำให้ฟองล้นออกมา 
เช็ดรอบคอขวดด้วยผ้าสะอาด เทแชมเปญเพียงเล็กน้อยลงในแก้วแต่ละใบ แล้วจึงเติมลงในแก้วแต่ละใบอีกครั้งให้เป็น 2/3 ของแก้ว 
อย่าบดบังฉลากบนขวด เพราะฉลากที่ออกแบบมาอย่างสวยงามเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งที่ดึงดูดใจผู้ดื่ม 
ไม่ควรใช้ที่เขย่าผมสเหล้าเพื่อเพิ่มฟองอย่างเด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำลายฟองและกลิ่มหอมของไวน์ชนิดนี้ให้หมดไปและ ยังเป็นการดูหมิ่นความพยายามของทั้งผู้ผลิตและ ผู้เก็บรักษาอีกด้วย 

การรินไวน์อย่างถูกวิธี


      ไม่มีอะไรจะง่ายดายเท่าการรินไวน์ อย่างไรก็ตาม คุณควรทำตามนำแนะนำเหล่านี้อย่างตั้งใจด้วย 
>อย่าให้ขวดอยู่สูงจากแก้ว ควรให้คอขวดอยู่ใกล้กับปากแก้ว เพื่อที่ไวน์จะได้ไหลลงแก้วอย่างเบา ๆ ละไวน์ไม่กระเพื่อม 
>อย่าให้คอขวดไวน์อิงติดกับปากแก้วขณะริน 
>ระวังให้ไวน์หยดสุดท้ายที่คุณรินนั้นหยดลงในแก้วไวน์ ไม่ใช่หยดลงบนผ้าปูโต๊ะทำได้โดยหมุนขวดเล็กน้อยใน ขณะที่ยกคอขวดขึ้นจากนั้นเช็ดคอขวดทันทีด้วย ผ้าสะอาด ก่อนที่จะเสิร์ฟไวน์ ให้แขกคนต่อไป(เสิร์ฟจากซ้ายไปขวา และสุภาพ- สตรีก่อนสุภาพบุรุษ) 
>ถ้าคุณใช้ผ้ารองถือขวด เมื่อหยิบขวดไวน์ออกจากถังแช่ จะต้องระวังไม่ให้ผ้าปิดบัง ฉลากบนขวดไวน์ซึ่งเปรียบเสมือประกาศนียบัตร รับรองไวน์ขวดนั้นเลยทีเดียว 
>อย่ารินไวน์จนปริ่มถึงขอบแก้ว 
>อย่าปล่อยให้แก้วว่างเปล่า โดยไม่ได้เติมไวน์ รวมทั้งอย่ารินไวน์ให้มากเกินไป 

  คุณควรจะต้องเสิร์ฟไวน์หลายชนิในอาหารต่อมื้อ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะสร้าง "ลำดับ"จากความอ่อนนุ่มที่สุด ไปสู่รสชาติเต็มขั้นโดยเสิร์ฟ 

ไวน์รสไม่หวาน ก่อน ไวน์หวาน 
ไวน์ขาว ก่อน ไวน์แดง 
ไวน์แดง ก่อน ไวน์ที่มีรสหวาน 
และไวน์ใหม่ ก่อน ไวน์ที่เก็บบ่มไว้หลายปี 

  !!!และมีแต่น้ำเท่านั้นไม่ใช่ไวน์ ที่เหมาะจะดื่มร่วมกับอาหารที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู สลัด พุดดิ้งส้ม หรือพุดดิ้งช็อกโกแลต เพราะอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นศัตรูกับไวน์ ทำให้ไวน์ไม่มีรสชาติ หรือมีรสชาติเปลี่ยนไป

VIDEO





อ้างอิงเนื้อหาจาก
https://winethai.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C/
http://www.cocktailthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=155692

Week 8 : Review การใช้งานโปรแกรม 1 โปรแกรม : INSTAGRAM

         สวัสดีชาววบล๊อกทุกท่านนน!!! วันนี้เรามีแอพพลิเคชั่นจะมารีวิวให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจกันนน และแอพที่เราจะมารีวิวให้ทุกคนดูวันนี้ก็คือ อิสตาแกรม แอพพลิเคชั่นสำหรับแชร์รูปและติดตามผู้คนที่เราสนใจ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและทั่วโลก เรามาดูกันเลยจ้าาา ^___^

INSTAGRAM

*******************

INTERFACE 
หน้าต่างต่างๆ ของอินสตาแกรม

 - HOME -
หน้าหลัก หน้าพื้นฐาน


เป็นหน้าต่างที่จะแสดงรูปภาพต่างๆ ของผู้ใช้ที่เราติดตาม
เมื่อต้องการจะไลค์รูป ก็กดที่รูปหัวใจ หรือสามารถแตะที่รูปติดกัน 2 ครั้งได้ทันที


การคอมเม้นต์ก็สามาถทำได้โดยกดที่รูปข้อความข้างๆ หัวใจ
แล้วพิมพ์ลงไปได้เลย หรือถ้าต้องการเมนชั่นหาผู้ใช้อื่น ก็พิมพ์ @ ตามด้วยบัญชีนั้นๆ

---------------------------------
- Account -
หน้าหลักของบัญชีผู้ใช้


หน้าบัญชีผู้ใช้สามารถเลือกการแสดงค่าได้ 2 แบบ คือ
จัดเป็นรูปเล็กๆ เรียงกัน จากขวาไปซ้าย (เก่ามาใหม่) หรือ


จัดเรียงรูปใหญ่ลงมา บนสุดคือรูปใหม่สุด


ระบบเช็คอินรูปกับสถานที่นั้นๆ 

---------------------------------
 - ACTIVITY -
กิจกรรม ความเคลื่อนไหวต่างๆ

YOU
ความเคลื่อนไหวกับเรา
เช่น มีผู้ใช้อื่นมาติดตาม ติดแท็กเรา หรือ
มีผู้ใช้มากดไลค์รูป คอมเม้นต์รูปของเรา 


FOLLOWING 
 ความเคลื่อนไหวของผู้ใช้ที่เรากำลังติดตาม

---------------------------------
SEARCH


โหมด SEARCH ในอินสตากรม
สามารถใช้ค้นหาบัญชีผู้ใช้คนอื่น หรือ 

ใช้ค้นหา # แฮชแท็ก ที่เราสนใจได้

*******************
การถ่ายรูป แต่งรูป และการแชร์


เราสามารถเลือกรูปที่มีอยู่แล้วจากคลังภาพ 
หรือถ่ายใหม่ ณ ตอนนั้นได้


ระบบ FILTERS ของอินสตาแกรมจะมีความเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะ..


การปรับฟิลเตอร์


การปรับความเข้มของฟิลเตอร์ เพิ่มได้


ลดก็ได้


การปรับแต่งด้านอื่นๆ เช่น หมุนรูป ความสว่าง ความเปรียบสี ฯลฯ


การปรับโทนของรูป เลือกโทนหลักๆ ตามสีเหล่านี้ได้เลย
ว่าจะเป็นเงา หรือ ไฮไลต์


การแชร์สู่สาธารณะ บัญชีผู้ใช้ที่ติดตามเราจะสามารถเห็นได้
สามารถพิมพ์แคปชั่น แท็กบัญชีอื่น หรือแชร์ร่วมไปกับแอปฯ อื่นได้เลยในครั้งเดียว


เสร็จแล้วก็จะได้แบบนี้

*******************
VIDEO

*******************
เครดิต
เจ้าของบล็อกเองจ้า
IG :  @thanrst


Week 7 : คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์




         สวัสดีฮ๊าฟฟฟฟฟ วันนี้จะทุกคนนไปทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์ที่บางคนอาจเคยได้ยินคำว่า "คณิตกรณ์"และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เราๆได้ใช้กันอยู่ทุกวันนั้นมีองค์ประกอบอะไร มีรูปแบบเครือข่ายเป็นอย่างไร และแต่ละรูปแบบใช้แตกต่างกับอย่างไร ยังไงบ้าง ไม่ติดตามชมกันได้เลยคร๊าฟฟฟฟฟฟฟฟ~




คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์
เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์
หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อมส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหา
ได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล 
อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์
และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไปหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน



คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับ
เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี)สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit)
โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์"
มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ
อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม

------------------------------------------
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก
(อังกฤษ: computer network; ศัพท์บัญญัติว่า ข่ายงานคอมพิวเตอร์)
คือ เครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย)
จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต

การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง

การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผลหน่วยความจำ,หน่วยจัดเก็บข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้

ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกตามขนาดของเครือข่าย
ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่รู้จักกันดีมีอยู่ 6 แบบ
ได้แก่

เครือข่ายภายใน หรือ แลน (Local Area Network: LAN
เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นอยู่ในห้อง หรือภายในอาคารเดียวกัน

เครือข่ายวงกว้าง หรือ แวน (Wide Area Network: WAN
เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกัน ในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็น กิโลเมตร หรือ 
หลาย ๆ กิโลเมตร

เครือข่ายงานบริเวณนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan area network : MAN)

เครือข่ายของการติดต่อระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ แคน (Controller area network) : CAN)
เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อกันระหว่าง Micro Controller unit: MCU

เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN)
เป็นเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล เช่น โน้ตบุ๊ก มือถือ อาจมีสายหรือไร้สายก็ได้

เครือข่ายข้อมูล หรือ แซน (Storage area network) : SAN
เป็นเครือข่าย (หรือเครือข่ายย่อย) ความเร็วสูงวัตถุประสงค์เฉพาะที่เชื่อมต่อภายในกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชนิดต่างกันด้วยแม่ข่ายข้อมูลสัมพันธ์กันบนคัวแทนเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ใช้

เซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องแม่ข่าย 
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักในเครือข่าย ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ใน เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง และมีฮาร์ดดิสก์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย

ไคลเอนต์ (Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย
 เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ร้องขอ บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็นคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่าย

ฮับ (HUB) หรือ เรียก รีพีตเตอร์ (Repeater) 
คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง

เนทเวิร์ค สวิตช์ (Switch) 
คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลายทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธจึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนกันของข้อมูล

เราต์เตอร์ (Router)
เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ้ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายที่ให้โพรโทคอลต่างกันได้ เช่น IP (Internet Protocol) , IPX (Internet Package Exchange) และ AppleTalk นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

บริดจ์ (Bridge)
เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layer จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น
บริดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้

เกตเวย์ (Gateway)
เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น


------------------------------------------
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY)

        การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารนั้น สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้

1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อเมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล 
และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง 
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา
        2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ 
ข้อดีของโครงสร้างเครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง

        3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 
แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย

------------------------------------------
VIDEO
Computer & Internet Basic


------------------------------------------

เครดิตเนื้อหาข้อมูล : 
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.html

Week 6 : วิเคราะห์ข้อสอบโอเน็ตคอมพิวเตอร์ 5 ข้อ


       หลายๆคนคงจะรู้จักข้อสอบโอเน็ตกันดีนะคะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะไปให้ความสนใจกับวิชาหลักๆอย่างเช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคม และบลาๆ แต่ไ่ค่อยมีใครส่วนพวกวิชา พลศึกษา หรือการงานอาชีพเท่าไหร่ วันน้ีเราจะพาทุกคนมาวิเคราะห์ข้อสอบโอเน็ตวิชาคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหมวดการงานอาชีพกันดูนะคะว่าเป็นอย่างไรกันบ้างงง ^___^ 

1. ข้อใดไม่ใช่ข้อเสียของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ (ข้อสอบO-NET ปี 2554)
1) การทำผิดกฏหมายลองสิทธิ์มีความผิดทางอาญา
2) เป็นช่องทางหนึ่งในการระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์
3) ผู้ใช้จะไม่ได้รับการบริการจากผู้พัฒนาถ้ามีปัญหาในการใช้งาน
4) ทำให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ไม่มีรายได้พื่อประกอบการและพัฒนาต่อไป
- ข้อนี้ตอบ 2)
วิเคราะห์
ข้อ 1) เป็นข้อเสีย เพราะการละเมิดลิขสิทธ์นั้นผิดกฎหมายอยู่แล้ว
ข้อ 3) เป็นข้อเสีย เพราะทางผู้พัฒนาถ้ามีการอัพเดตข้อมูล ผู้ที่ใช้อย่างถูกลิขสิทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสได้การบริการ
ข้อ 4) เป็นข้อเสีย เพราะถ้ามีแต่คนแห่ไปใช้ของผิดลิขสิทธิ์ ทางผู้พัฒนาก็จะไม่ได้รับรายได้จากการทำงานเลย

************

2. ข้อใดเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมื่อศึกษาค้นคว้าหาข้อมุลจากอินเทอร์เน็ตมาทำรายงาน (ข้อสอบO-NET ปี 2554)
1) คัดลอกเนื้อหาจากเวปไซต์
2) ใช้เนื้อหาจากกระดานสนทนา (web board) มาใส่ในรายงาน
3) นำรูปภาพจากเวปไซต์มาใส่ในรายงาน
4) อ้างอิงชื่อผู้เขียนบทความ
 - ข้อนี้ตอบ 4)
วิเคราะห์
ข้อ 4) ถูกต้อง เพราะการทำรายงานนั้นผู้จัดทำจะต้องให้เกียรติเจ้าของเนื้อหาข้อมูลนั้นๆ ด้วย ข้ออื่นเป็นการคัดลอกความคิดของผู้อื่นมาใส่เฉยๆ


************

3. รูปนี้เป็นหัวเชื่อต่อประเภทใด และใช้สำหรับงานประเภทใด (ข้อสอบO-NET ปี 2553) 
1) VGA ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับจอแสดงผล
2) DVI ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับจอแสดงผล
3) USB ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์เสริม
4) FireWire ใช้ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์เสริม
- ข้อนี้ตอบ 1)
วิเคราะห์
ข้อ 2) DVI จะหน้าตาแบบนี้
ข้อ 3) USB จะหน้าตาแบบนี้

************

4. การหาสินค้าและบริการผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรียกว่าอะไร (ข้อสอบO-NET ปี 2553)
1. E-Payment
2.E-Learning
3.E-Sourcing
4.E-News
- ข้อนี้ตอบ 3)
วิเคราะห์
ข้อ 1) E-Payment : ระบบชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ 2) E-Learning : การเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ข้อ 3) E-Sourcing : จัดซื้อจัดหาผ่านอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ 4) E-News : นำเสนอข่าวผ่านอิเล็กทรอนิกส์

************

5. อุปกรณ์ใดเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ 3 เครือข่ายแตกต่างกันที่สุด (ข้อสอบO-NET ปี 2552)
1) HUB
2) Bridge
3) Switch
4) Router
- ข้อนี้ตอบ 4)
วิเคราะห์
ตอบ ข้อ 4) เพราะ เร้าท์เตอร์คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป 


************